บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ คดี "ลุงพล" จาก “ผู้ต้องสงสัย” สู่ “เซเลบ” จาก “เซเลบ” สู่ “จำเลย” สังคมไทยได้อะไร ?

 คดีการเสียชีวิตของเด็กหญิง อ. หรือ "น้องชมพู่" วัย 3 ปีเศษ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้รับความสนใจจากสังคมไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ นายไชย์พล วิภา หรือ             "ลุงพล" ซึ่งผันตัวจาก “ผู้ต้องสงสัย” กลายมาเป็น “เซเลบริตี้” บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสังคม ก่อนจะถูกดำเนินคดีในฐานะ “จำเลย” ในที่สุด บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงข้อพิรุธและพยานหลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินจำคุกลุงพล รวมถึงสิ่งที่คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมและสังคมไทย

 

การเดินทางจาก “ผู้ต้องสงสัย” สู่ “จำเลย” : พยานหลักฐานและข้อพิรุธ

คดี “น้องชมพู่” เริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงหายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านพัก และต่อมาพบศพอยู่บนเขา “ ภูเหล็กไฟ” ห่างจากจุดที่พบเห็นครั้งสุดท้ายประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางลาดชัน การที่เด็กอายุเพียง 3 ปีเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงจุดดังกล่าวได้เอง ประกอบกับการพบเส้นผมของผู้ตายหลายเส้นที่มีรอยถูกตัดด้วยของแข็งมีคม ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า “ มีคนร้ายพาผู้ตายไป”

การสืบสวนไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ “ลุงพล” ตั้งแต่แรก แต่เป็นผลมาจากการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเป็นลำดับ โดยมีข้อพิรุธและพยานหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปที่นายไชย์พล ดังนี้:

 

ความไม่ชัดเจนเรื่องสถานที่อยู่และโทรศัพท์เคลื่อนที่ : ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 09.00 น. น้องชมพู่เล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและหายตัวไปก่อนเวลา 09.50 น. โดยไม่มีเสียงร้องไห้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนกลุ่มบุคคลใกล้ชิด 14 คน พบว่า 13 คนมีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ 1 (ลุงพล) ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป 

 

คำให้การที่น่าสงสัย: 

   ​ ลุงพล ให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจว่า ภรรยา (จำเลยที่ 2) โทรศัพท์แจ้งเรื่องน้องชมพู่หายตัวไป ขณะที่ ลุงพล กำลังเดินทางไปวัดถ้ำภูผาแอก เพื่อรับพระ ส. แต่ครอบครัวของลุงพลมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียว ซึ่งอยู่กับภรรยา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ภรรยาจะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่       ลุงพล

   ​พระ บ. ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอก ยืนยันว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ลุงพลเดินทางไปถึงวัดและพูดว่า "หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ" ทั้งที่ในขณะนั้นลุงพลไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวและไม่น่าจะทราบเรื่องการหายตัวไปของน้องชมพู่

 

ความพยายามพูดคุยกับพยาน : พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า เห็นลุงพลอยู่บริเวณสวนยางพารา ซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด ลุงพล พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. เพื่อให้นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าพบลุงพลในช่วงเวลา 07.00 น. ไม่ใช่ช่วงเวลาเกิดเหตุ ซึ่งศาลมองว่าเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่ง แม้ต่อมานาง พ. จะกลับคำให้การในชั้นสืบพยาน แต่ศาลยังให้น้ำหนักกับคำให้การในชั้นสอบสวนมากกว่า เนื่องจากเป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุไปกว่า 2 ปี 

 

หลักฐานเส้นผมในรถยนต์ : ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัย ลุงพลถูกเข้าตรวจค้นรถยนต์ และพบเส้นผม 16 เส้น ผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์และคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญ          ระบุว่า

“ เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์ของลุงพล มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ที่ตรวจเก็บได้จาก  บริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้นดังกล่าวจึงเชื่อว่า ถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน”

ด้วยพยานหลักฐานและข้อพิรุธเหล่านี้ ศาลจึงเชื่อว่า นายไชย์พล (ลุงพล) เป็นคนร้ายที่พาน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ

 

บทกฎหมายและคำพิพากษา

คดีนี้มีการพิจารณา และมีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งนำไปสู่การลงโทษนายไชย์พลในข้อหาที่แตกต่างกัน:

 

คำพิพากษาศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดมุกดาหาร) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566: พิพากษาว่า นายไชย์พล วิภา (ลุงพล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และ มาตรา 317        วรรคแรก.

   ​ฐาน “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” (มาตรา 291) จำคุก 10 ปี

ศาลเห็นว่า จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย จึงไม่น่ามีเจตนาฆ่าหรือทอดทิ้ง แต่จากการตรวจสอบศพพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ อาจเป็นไปได้ที่ผู้ตายหมดสติไปแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตรวจดูให้ดี จึงนำไปทิ้งไว้บนเขา.

 

   ​ ฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร” (มาตรา 317 วรรคแรก) จำคุก 10 ปี.

 

   ​รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี.

  ​ สำหรับข้อหาอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ให้ “ยกฟ้อง” รวมถึง ข้อหาร่วมกันเคลื่อนย้ายศพ เพราะไม่มีพยานเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ และแม้พบ mtDNA ( Mitochondrial DNA ) ของจำเลยที่ 2 บนเส้นผม แต่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ชัดเจน.

   ​ และพิพากษา “ ยกฟ้อง” นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ "ป้าแต๋น" (จำเลยที่ 2) ทุกข้อหา.

 

   ​อย่างไรก็ตาม คดีนี้ปรากฎว่า อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร มีความเห็นแย้งว่า “ พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควร ควรกำหนดให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ”

 


ต่อมา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำพิพากษาให้ “แก้” โดยให้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา (ลุงพล) รวมจำคุก 26 ปี และ “แก้” ฐานความผิดด้วย ดังนี้

 

   ​ ฐาน “ ฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล” จำคุก 15 ปี. (ข้อหานี้แตกต่างจากศาลชั้นต้นที่ตัดสินข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย)

   ​ฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา” จำคุก 10 ปี.

  ​ ฐาน “กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น” จำคุก 1 ปี. (ข้อหานี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง)

  ​ สำหรับป้าแต๋น (จำเลยที่ 2) ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษา “ ยกฟ้อง”ตามศาลชั้นต้น

 

คำสั่งศาลฎีกาเกี่ยวกับคำร้องขอประกันตัว: 

 ​ ศาลฎีกายังไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาคดี แต่ได้มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายไชย์พล วิภา ในระหว่างการฎีกา.

   ​เหตุผลที่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวคือ “ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงกระทบต่อสังคม และเป็นการลงโทษสถานหนัก (จำคุก 26 ปี). นอกจากนี้ ยังเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง จังหวัดมุกดาหารอยู่ใกล้ชายแดน และจำเลยมีฐานะทางการเงินดี การหลบหนีจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผลและกระบวนการยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ”

 

คดีลุงพลให้อะไรกับสังคมไทย

คดีน้องชมพู่และเรื่องราวของลุงพลนี้ ไม่ใช่เพียงแค่คดีอาชญากรรม แต่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ให้บทเรียนหลายประการ:

 

บทบาทของสื่อและกระแสสังคม : คดีนี้จุดประกายความสนใจของประชาชนอย่างมหาศาล ทำให้ลุงพลกลายเป็น " เซเลบ" ชั่วข้ามคืน แสดงให้เห็นถึง “ พลังของสื่อ” และ “กระแสสังคม” ที่สามารถส่งผลต่อการรับรู้ของสาธารณชนต่อผู้ต้องหาหรือจำเลย อย่างไรก็ตาม การตัดสินของศาลยึดตามพยานหลักฐานทางกฎหมายเป็นสำคัญ. 

 

ความสำคัญของนิติวิทยาศาสตร์: ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักฐานเส้นผมที่พบในรถของลุงพลและในที่เกิดเหตุ ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่มัดตัวจำเลย ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการไขคดีอาชญากรรม. 

 

น้ำหนักของคำให้การและพฤติกรรมในชั้นสอบสวน: คำให้การที่สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกัน รวมถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคำให้การของพยาน หรือพฤติกรรมที่น่าสงสัยในระหว่างการสืบสวน ล้วนมีน้ำหนักในการพิจารณาของศาล. 

กลไกการถ่วงดุลของกระบวนการยุติธรรม: การมีคำเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาภาคและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในชั้นต้น รวมถึงการที่คดีต้องเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์และฎีกา แสดงให้เห็นถึงกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลในระบบศาล เพื่อให้มั่นใจว่าการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบคอบและยุติธรรมที่สุด.

 

หลักการเรื่องการให้ประกันตัว: การที่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวลุงพล สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดของศาลในคดีที่มีอัตราโทษสูงและเป็นคดีที่กระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันการหลบหนีและรักษาความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม. 

 

การแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้เสียหาย: แม้จะเป็นคดีที่ซับซ้อนและยาวนาน แต่กระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินไปเพื่อแสวงหาความจริงและนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายและครอบครัว 

 

การที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ แก้ ” ทั้ง “ฐานความผิด” และ แก้ “โทษ” ( ให้หนักขึ้น )  

จาก “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”

สู่ “การกระทำโดยเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล ”  

จาก “ยกฟ้อง” สู่การ “ลงโทษ” ฐาน “ กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น”

 

เกิดจาก การที่ “ พนักงานอัยการโจทก์ และ “ อัยการศาลสูง ” ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงได้ยื่น “อุทธรณ์” ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำฟ้องโจทก์ เพื่อให้จำเลยได้รับโทษในสิ่งที่ได้กระทำ และคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวน้องชมพู่ และ สังคม

 

ที่สำคัญ ต้องเกิดจากการ “พนักงานสอบสวนคดีนี้” ได้มุ่งมั่นและทุ่มเทสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจนพบ พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่การลงโทษจำเลยในคดีนี้ และ การที่พนักงานอัยการประจำศาลชั้นต้น ที่มุ่งมั่น “ สืบพยานหลักฐาน” จนศาลอุทธรณ์เชื่อมั่นในพยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้นำสืบมาแล้ว จึงได้มีคำพิพากษา “ แก้” ฐานความผิดและแก้โทษดังกล่าว 

 

คงต้องรอดูต่อไปว่า บทสรุปสุดท้ายของคดีนี้จะเป็นอย่างไร เชื่อว่า ลุงพล (จำเลย) คงใช้สิทธิฎีกาขอให้ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสุดท้ายพิจารณาพิพากษาต่อไป

 

จึงเห็นว่า คดี "น้องชมพู่" และการเดินทางทางกฎหมายของ "ลุงพล" เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับสังคมไทย ไม่เพียงแต่ในมิติของคดีอาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ยังรวมถึงบทบาทของสื่อมวลชน พลังของสังคมออนไลน์ และความซับซ้อนของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพฤติการณ์แวดล้อมในการตัดสินคดีที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง

• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร                    (สมัยที่ ๒๕)  

๑๘   สิงหาคม ๒๕๖๘

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ! Kloss Wellness Clinic ผู้นำคลินิกดูแลสุขภาพครบวงจร ขึ้นรับรางวัล สถานประกอบการฟื้นฟูและชะลอวัยดีเด่นแห่งปี ในงาน THE WORLD'S HIGHEST AWARDS 2024

โรงเรียนสวนกุหลาบสมุทรปราการ จับมือ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บิน ประเทศจีน จัดพิธีลงนามทำ MOU เปิดศูนย์ประสานงานและการเรียนรู้ภาษาจีน

งานบุญกฐิน ประจำปี 2567 วัดบางพลีใหญ่กลาง รวมยอดจากสายบุญทุกสาย กว่า 1.6 ล้านบาท อย่างไม่เป็นทางการ