“อลงกรณ์“ขับเคลื่อนนโยบาย”รัฐมนตรี ทส. ดร.เฉลิมชัย“ผนึกเครือข่าย”Green Alliance“ยกระดับท่องเที่ยวสีเขียว(Green Tourism)สู่มิติใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยภายใต้โครงการซอฟท์โลน1หมื่นล้านของธนาคารเอสเอ็มอี.

 


นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์(FKII Thailand)กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสีเขียว( Green Tourism ) : มิติใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย

ในงานโครงการ “GO SMART GO GREEN FOR SUSTAINABLE TOURISM”จัดโดย SME D Bank เมื่อวันที่21 มีนาคม 2568

ซึ่งเป็นประเด็นเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจจึงเห็นควรนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อเพื่อประโยชน์ในการรับรู้ของสาธารณชน

โดยอดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า

“…ในวันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้กล่าวถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อนGreen Tourism หรือการท่องเที่ยวสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศไทยไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป

ตามที่ท่านพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวในพิธีเปิดโครงการ “GO SMART GO GREEN FOR SUSTAINABLE TOURISM”เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจไทย ด้วยมูลค่าอุตสาหกรรมรวมมากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปีในปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยจำนวนสูงกว่า 35 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปัจจุบันภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ  ทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึง มีกฎกติกาสากลและมาตรฐานทั้งภายในและภายนอกประเทศมาควบคุมการท่องเที่ยว  โดยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า นักท่องเที่ยวกว่า 60% ให้ความสำคัญและต้องการสร้างความยั่งยืนให้แก่การท่องเที่ยว  ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยมากกว่า 60% สนใจและต้องการยกระดับสู่มาตรฐาน Green Tourism แต่มีผู้ประกอบการที่พร้อมจะปรับตัวเพียงแค่ประมาณ 10% เนื่องจากยังขาดความรู้ ขาดเงินทุนเพื่อปรับตัว และขาดเครื่องมือในการยกระดับ  ขณะที่โรงแรมที่ผ่านเกณฑ์ Green Tourism ในประเทศไทยมีเพียง 2% เท่านั้น หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับตัวสู่มาตรฐานท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความเสี่ยงที่ชาวต่างชาติจะย้ายฐานการท่องเที่ยวไปยังประเทศที่มีความพร้อมแทน 


ผมคิดว่า เราต้องมองหาทุกโอกาสในวิกฤติโลกเดือดโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว

ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกเรียกร้องให้ประเทศไทยเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำ โดยชี้ให้เห็นว่า

“มีโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืนถึงประมาณ 632 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (23 ล้านล้านบาท) ”

ในขณะเดียวกัน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เร่งรัดผลักดันให้กระทรวงฯ.นำเสนอ

ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอรัฐสภาภายในปีนี้เพื่อให้มีผลบังคับโดยเร็ว 

กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นกลางในปี ค.ศ.2050และสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065

และกฎหมายดังกล่าวยังสร้างโอกาสในการเกิดเศรษฐกิจใหม่คือเศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy)

จะเกิดการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างธุรกิจใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ การปลูกป่าไม้ป่าโกงกาง การกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ การมีกองทุนคาร์บอน พันธบัตรคาร์บอน สินเชื่อคาร์บอน ภาษีคาร์บอน หรือการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นข้าวรักษ์โลก ซีเมนต์ไฮดรอลิก(ซีเมนต์คาร์บอนต่ำ)รวมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ สอดคล้องต่อมุมมองของธนาคารโลก

จึงเป็นโอกาสในวิกฤติโลกเดือดโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้วที่จะเร่งขับเคลื่อน

เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy)

หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคสินค้าหรือบริการที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ระบบเศรษฐกิจนี้มักรวมถึงภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง การค้า การท่องเที่ยว พลังงาน และเกษตรกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

ประเทศไทยมีเป้าหมาย สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก โดยจะบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 ซึ่งหมายความว่าทุกภาคส่วน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ต้องมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด และชดเชยการปล่อยที่เหลือด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การใช้พลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาเทคโนโลยีลดคาร์บอน

การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล

การปรับปรุงระบบการจัดการพลังงานเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำ

และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ตลอดจนเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้และสนับสนุนโครงการปลูกป่าและการกักเก็บคาร์บอนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


 อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ยังได้กล่าวถึงหัวข้อสำคัญๆดังนี้

1. แนวโน้มและความสำคัญของการท่องเที่ยวสีเขียว( Green Tourism)


เมื่อปี2019ใน COP 25 มีGlasgow Declaration กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก50%ในปี2030

และNet Zeroในปี 2050

ทั้งนี้เพราะภาคการขนส่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว(Tourism transport)มีสัดส่วนถึง5%ของGHG

และมีอัตราเพิ่ม25%ต่อปี 


ดังนั้นในเดือนมีนาคมปี2023 จึงได้กำหนดGuidance Tourism ของ UNFCCC และCOP28


2. โอกาสทางธุรกิจสำหรับโรงแรมและผู้ประกอบการ


อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 12-18% ของ GDP แต่ในขณะเดียวกัน การเติบโตของการท่องเที่ยวกลับนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขยะพลาสติก มลพิษทางอากาศ ไปจนถึงการทำลายระบบนิเวศ ซึ่งกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นจุดขายสำคัญของการท่องเที่ยวไทย


ข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ระบุว่า นักท่องเที่ยว 73% ทั่วโลกให้ความสนใจการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนักเดินทางกลุ่มนี้มักมีกำลังซื้อสูงกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าการปรับตัวสู่ Green Tourism ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอีกด้วย


นอกจากนี้จากข้อมูลของ Sustainable Hospitality Alliance พบว่า โรงแรมที่ดำเนินนโยบายสีเขียวสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ 20-30% และลดต้นทุนการใช้น้ำได้กว่า 15% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวทางนี้ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนระยะยาว


ตัวอย่างโรงแรมในประเทศไทยที่ใช้แนวทาง Green Tourism แล้วประสบความสำเร็จ เช่น โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต และ เกาะกูดรีสอร์ท ที่นำพลังงานสะอาด ระบบรีไซเคิลน้ำ และแนวคิด Zero-Waste มาใช้ ซึ่งช่วยให้ได้รับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ


3. บทบาทของภาครัฐและนโยบายสนับสนุน
การผลักดัน Green Tourism ไม่ใช่หน้าที่ของภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ผ่านมาตรการจูงใจ เช่น มาตรฐานโรงแรมสีเขียว และการส่งเสริมการตลาดเชิงรุกสำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน


4. บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้วิสัยทัศน์และนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและกำกับดูแล Green Tourism ผ่านการออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ 

เช่น โครงการโรงแรมสีเขียว (Green Hotel) การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ 

กระทรวงยังสนับสนุนการใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมในการออกใบอนุญาตให้สถานประกอบการท่องเที่ยว รวมถึงการร่วมมือกับภาคเอกชนในการลดขยะพลาสติกและควบคุมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังได้รับการสนับสนุนผ่านนโยบาย Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO) ซึ่งช่วยให้สถานประกอบการสามารถลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ และได้รับการรับรองเป็นองค์กรสีเขียวในระดับสากล

5.มาตรฐาน GSTC: กรอบแนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

หนึ่งในมาตรฐานสากลที่โรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือมาตรฐาน GSTC (Global Sustainable Tourism Council) ซึ่งเป็นเกณฑ์ระดับโลกที่ช่วยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืนมากขึ้นโดยมีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหน่วยสนับสนุนที่สำคัญ

   

ยิ่งกว่านั้นการขับเคลื่อนGreen Tourism อย่างจริงจัง  

โดยกลุ่ม Green Alliance ที่ประกอบไปด้วยภาครัฐ  ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และ แหล่งเงินทุน เช่น SMEd Bank จึงเกิดขึ้นเพื่อร่วมมือกันยกระดับ

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้เป็น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่แท้จริง
การขับเคลื่อน Green Tourism ไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย โรงแรมที่ปรับตัวเร็วจะได้รับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ภาครัฐที่สนับสนุนจะช่วยให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน และสุดท้าย ประเทศไทยจะสามารถอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้กับคนรุ่นต่อไป

หวังว่าเราจะร่วมมือกันในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้เป็นต้นแบบแห่งความยั่งยืน 

และขอบคุณSME D Bank ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการGreen Loan

โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับปรับเปลี่ยนสู่ธุรกิจสีเขียวซึ่ง SME D Bank พร้อมสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับนำไปลงทุนติดตั้งระบบ เครื่องจักร อุปกรณ์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือเทคโนโลยี เพื่อใช้พลังงานสะอาด เช่น ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เปลี่ยนเครื่องจักร ใช้เทคโนโลยี รวมถึง เชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน นอกจากนั้น ยังมีสินเชื่ออื่นๆ ไว้รองรับครบทุกความต้องการ เช่น สินเชื่อ “BCG Loan” สนับสนุนยกระดับพัฒนาสู่ “BCG Model” (Bio-Circular-Green Economy) ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 50 ล้านบาท  อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นประมาณ 4.55%ต่อปี  ผ่อนนานสูงสุด 15 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน เป็นต้น


นับเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญในการเดินหน้าสู่Green Tourismอย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนตลอดไป ขอบคุณครับ..”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ! Kloss Wellness Clinic ผู้นำคลินิกดูแลสุขภาพครบวงจร ขึ้นรับรางวัล สถานประกอบการฟื้นฟูและชะลอวัยดีเด่นแห่งปี ในงาน THE WORLD'S HIGHEST AWARDS 2024

โรงเรียนสวนกุหลาบสมุทรปราการ จับมือ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บิน ประเทศจีน จัดพิธีลงนามทำ MOU เปิดศูนย์ประสานงานและการเรียนรู้ภาษาจีน

งานบุญกฐิน ประจำปี 2567 วัดบางพลีใหญ่กลาง รวมยอดจากสายบุญทุกสาย กว่า 1.6 ล้านบาท อย่างไม่เป็นทางการ