ไฮไลท์เวที“เอฟเคไอไอ.“ “ท๊อป - จิรายุส”ถอดรหัส4วาระสำคัญของสภาเศรษฐกิจโลก(WEF 2025) “อลงกรณ์“เสนอแนวทางก้าวใหม่ประเทศไทยรับมือสงครามการค้าและระเบียบโลกใหม่(New World Order)

 นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand ร่วมกับ นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand จัดกิจกรรม FKII National Dialogue : ก้าวต่อไปไทยแลนด์ เทรนด์ใหม่จาก World Economic Forum 2025 เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2568 โดย ท๊อป – จิรายุส โดยได้เชิญ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด มาให้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการเข้าร่วมงาน World Economic Forum 2025 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ TVA Hall สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร


นายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา และผู้อำนวยการสถาบัน FKII Thailand ได้แนะนำที่มาของสถาบัน FKII Thailand และพันธกิจของสถาบัน ซึ่งมีสถานะเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise; SE) ที่มุ่งเน้นในด้านองค์ความรู้ที่มีอยู่ทั่วโลก การสร้างนวัตกรรม และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่อยู่ในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้แนะนำสถาบันทิวา (TVA) ซึ่งมีความตั้งใจว่าจะเป็นพื้นที่ที่ 3 ที่ไม่ใช่ทั้งบ้านและที่ทำงาน แต่เป็นสถานที่ที่เป็นชุมชนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งหนึ่งในโครงการของ TVA ได้แก่ โครงการ grow Longevity Eco Village (เขาใหญ่) วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในระดับอาเซียน ที่ได้นำมาทดลองประยุกต์ใช้งานจริงที่เขาใหญ่จนพิสูจน์ได้ว่าสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งปัจจุบันกำลังเตรียมที่จะขยายผลในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดใกล้เคียง แล้วขยายต่อไปยังทั่วประเทศต่อไปเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนต่อไป

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภาบรรยายสรุปข้อมูลเชิงลึกจาก World Economic Forum 2025 โดยแบ่งออกเป็น 4 เรื่องสำคัญซึ่งเชื่อมโยงกัน ได้แก่ 1) การเติบโตของเศรษฐกิจโลก 2) ภูมิรัฐศาสตร์ 3) เทคโนโลยี และ 4) ASEAN ทั้งนี้ การที่ได้เข้าไปฟังในวงสนทนาต่างๆ ที่มีจำนวนมาก บางเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เปิดเผยได้และอาจเผยแพร่ไปแล้วตามสื่อต่างๆ แต่บางเรื่องเป็นเรื่องที่มีการสนทนากันจริงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

การเติบโตของเศรษฐกิจโลก พบว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2025-2026 จะโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ตั้งไว้ 3.7% โดยเติบโตเพียง 3.3% ขณะที่เศรษฐกิจดิจิทัลจะเติบโตเป็น 15.5% และในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็น 70% แต่ประเทศจีนประเทศเดียวเติบโตไป 44% ซึ่งนับได้ว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดเกินค่าเฉลี่ยเป็นอย่างมาก โดยเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีโอกาสเติบโตสูง โดยมีอัตราการเติบโตจาก 2.2% เป็น 2.7% โดยเติบโตจากปัจจัยด้านนวัตกรรมที่สร้างผลิตภาพ เงินทุนที่เข้มแข็ง และพลังงานที่ถูก ส่วนอินเดียมีการคาดการณ์กันว่าจะเป็นโรงงานแห่งถัดไปของโลกแทนที่จีน

ด้านภูมิรัฐศาสตร์ คาดการณ์ว่าจะเกิดสงครามเย็นด้าน AI ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เข้มข้นขึ้น จะเกิดการแบ่งขั้วทางด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจนระหว่างตะวันตกและตะวันออก ทั้งนี้ มีโอกาสที่จะเกิดสงครามโลก 70%

ด้านเทคโนโลยี การพัฒนา AI จะมีอัตราการพัฒนาที่ก้าวกระโดขึ้น จากปัจจุบันใช้ Large Language Model (LLD) เป็นแบบ Vision Model ที่มีเซ็นเซอร์ต่างๆ เข้ามาประกอบในระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้กว่า 39% ซึ่งไมโครซอฟต์คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมที่จะมีผลกระทบโดยตรง 4 ธุรกิจ ได้แก่ 1) ด้านการดูแลสุขภาพ (Health Care) ซึ่งสามารถเรียนรู้และพัฒนาไปจนถึงระดับโมเลกุลโดยใช้ AI ในการศึกษา ลดงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาโดยมนุษย์ที่มีมูลค่ามหาศาล โดยมุ่งเน้นไปที่การมีอายุยืน (Longevity) กว่า 120 ปี 2) ด้านการเงิน (Finance) ซึ่งสามารถใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลและเทคโนโลยีทำงานแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด 3) ด้านกฎหมาย (Legal) ที่มีความซับซ้อนและต้องตีความโดยปราศจากอคติของมนุษย์ที่ AI สามารถเข้ามาแทนที่ได้ และ 4) ด้านการศึกษา (Education) คาดว่าในอนาคตไม่เกิน 5 ปี การศึกษาจะเป็นการ Up-Skill / Re-Skill เพื่อตอบโจทย์การทำงาน

ภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) อาเซียนควรเร่งผลักดัน Digital Economy Framework Agreement (DEFA) ซึ่งปีนี้มาเลเซียเป็นประธานโดยประกาศว่าในปีนี้หากรวมกันได้กี่ประเทศก็ให้เริ่มดำเนินการเลยไม่จำเป็นต้องรอครบ 10 ประเทศ หากประเทศใดยังไม่พร้อมก็ค่อยให้ตามเข้ามา เพื่อเร่งผลักดัน GDP ของภูมิภาค ทั้งนี้อาเซียนมีการเติบโตต่ำจาก 0.25% เหลือ 0.2% หากเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 5 ปี จะมีมูลค่าเศรษฐกิจเพียง 1 Trillion USD แต่หาก DEFA สำเร็จจะมีมูลค่า 2 Trillion USD แน่นอน ขณะที่ในเวทีที่ท่านนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเข้าร่วม ท่านได้แจ้งว่าประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่เติบโตต่ำในช่วงที่ผ่านมาจากค่าเฉลี่ย 5.0% เหลือ 1.0% แต่มีการสำรองพลังไฟฟ้าไว้ที่การเติบโต 5% ทำให้มีกำลังการผลิตพลังงานที่เหลือจึงมีราคาถูกและค่อนข้างเสถียร เหมาะสมที่จะทำ Data Center ของบริษัทข้ามชาติต่างๆ แต่มีข้อเสียคือการสร้าง Carbon Footprint สูงมาก จึงโดน Carbon Tax, CBAM มาก รวมทั้งการผลิตซีเมนต์ ด้านประเทศเวียดนามเติบโตสูงสุดเนื่องจากไม่ค่อยมีหนี้ครัวเรือนและมีแรงงานในวัยทำงานจำนวนมาก และการผลิตนักวิทยาศาสตร์จำนวน 500,000 คนต่อปี มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแนวใหม่ของโลก ประเทศอินโดนีเซียประกาศยกระดับเป็นประเทศพัฒนาแล้วเน้นการสร้างสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อส่งออก และพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ประกาศที่จะเป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) และส่งเสริมด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs อย่างทั่วถึง (ลักษณะ SMEs Bank ที่คิดอัตราดอกเบี้ยถูกเพื่อให้นำไปใช้ประกอบอาชีพ) อย่างไรก็ตาม DEFA จะเข้ามาช่วยในกระบวนการ Free Flow เดินทางไปได้ทั่ว ASEAN การทำงาน การโอนเงิน กระบวนการกงสุล (นำเข้า-ส่งออก) ซึ่งมีประชากรรวมกัน 600 กว่าล้านคน (ประเทศอาเซียน)


ประเด็นอื่นๆ มีการพูดคุยกันว่ารัฐบาลนั้นไม่มีทางตามทันทางด้านเทคโนโลยีเท่าภาคเอกชนที่เป็นผู้คิดค้นและผลิตขึ้นมาซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงมากด้านความมั่นคง (Tech นำ Policy) ขณะที่กระบวนการสร้างความยั่งยืน(ESG) ความปลอดภัย และด้านเกษตรแม่นยำ จะต้องนำ AI มาช่วยในการกำหนด Solution ที่ดีที่สุดต่อไป ส่วนประเด็นที่เป็นที่กังวล คือเรื่องจีนที่มีการผลิตสินค้าออกมาเกิน Domestic Consumption และปัญหา Real Estate ในประเทศ ทั้งนี้ หากมีผู้ที่ปรับตัวให้รอดจากการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไม่ได้ จะกำหนด Universal Basic Income ให้กับคนกลุ่มนี้อย่างไร


ข้อมูลจากอีลอน มัส เคยกล่าวไว้ว่า หากเราคำนวณ GDP ว่ามาจาก จำนวนคน X Productivity ของคน ในปัจจุบัน อนาคตอาจจะต้องเปลี่ยนเป็น จำนวน Robot X Productivity ของ Robot แทน


อดีตรัฐมนตรี อลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวว่า “การที่ได้ไปร่วมประชุมสภาเศรษฐกิจโลกของ คุณท๊อป จิรายุส แล้วมาถ่ายทอดให้กับผู้เข้าร่วมสนทนาในวันนี้ เพื่ออัพเดทข้อมูล แนวโน้ม และทิศทางที่จะกำหนดร่วมกัน และสะท้อนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปนับเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีทั้งด้านบวก ด้านลบ โอกาส ปัญหา และภัยคุกคาม เราได้ทราบถึง ประเด็นปัญหาโลกร้อน ปัญหา การสาธารณสุขและสังคมสูงวัย ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geo Politics) ปัญหา ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geo Economics ) การรวมกลุ่มระดับภูมิภาค (regional integration ) การเกิดระเบียบโลกใหม่แบบแบ่งขั้วจับคู่ โดยประเทศมหาอำนาจตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สงครามการค้า(trade wall )สงครามภาษีศุลกากร(Tariff War )ได้เริ่ม

แล้วระหว่าง สหรัฐอเมริกา กับประเทศต่างๆเช่นจีน แคนาดา เม็กซิโกซึ่งประเทศไทยและอาเซียนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการขึ้นภาษี ภาษีศุลกากรและภาษีอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ ปรากฎการณ์การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์( AI technology) ในระบบ open sources และเอไอ ต้นทุนต่ำ( low cost Ai )แบบDeepseek ,ควอนตั้ม คอมพิวติ้งก์(quantum computing ),6 G ,เทคโนโลยีดาวเทียม และ บล็อกเชนเทคโนโลยี (Blockchain Technology )จะทำให้โลกก้าวสู่ยุค Generative Ai และอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (Internet of everythings ) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสร้างโอกาสใหม่ๆพร้อมกับปัญหาที่จะตามมาคือสงครามเทคโนโลยีครั้งใหม่ ดังนั้น เมื่อโลกเปลี่ยน ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือและฉวยโอกาสจากวิกฤตให้สามารถขี่อยู่บนยอดคลื่นของการเปลี่ยนแปลง ด้วยองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมขับเคลื่อน

สู่การสร้างรัฐบาลเอไอ( Ai Government -การบริหารและพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์)และการสร้างทรัพยากรมนุษย์พร้อมกับสร้างความเข็มแข็งบนฐานหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของASEAN และRCEPรวมทั้งควรเร่งผลักดันให้เกิด DEFA( Digital Economy Framework Agreement ) stable coinและ cryptocurrency โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วและแรง ประเทศไทยต้องสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (BioEconomy ), เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy), เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy ), เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy), เศรษฐกิจ ฐานทรัพยากรมนุษย์ (human resources based Economy )และ เศรษฐกิจดิจิตอล-Ai(Ai-Digital Economy ) เพื่อ สร้างศักยภาพใหม่สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของอนาคตในทุกมิติโดยเร็วที่สุด เพราะระบบเศรษฐกิจเดิมไม่สามารถรับมือกับ ภัยคุกคามและโอกาสของปัจจุบันและอนาคตได้อีกต่อไป


จากนั้น รศ.ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานสถาบัน FKII Thailand กล่าวขอบคุณและมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ! Kloss Wellness Clinic ผู้นำคลินิกดูแลสุขภาพครบวงจร ขึ้นรับรางวัล สถานประกอบการฟื้นฟูและชะลอวัยดีเด่นแห่งปี ในงาน THE WORLD'S HIGHEST AWARDS 2024

โรงเรียนสวนกุหลาบสมุทรปราการ จับมือ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บิน ประเทศจีน จัดพิธีลงนามทำ MOU เปิดศูนย์ประสานงานและการเรียนรู้ภาษาจีน

งานบุญกฐิน ประจำปี 2567 วัดบางพลีใหญ่กลาง รวมยอดจากสายบุญทุกสาย กว่า 1.6 ล้านบาท อย่างไม่เป็นทางการ