เดโมแครต ฟอรั่ม 3 ขจัดการผูกขาด ปฏิรูปเศรษฐกิจ ลดเหลื่อมล้ำ ทุนสามานย์ พัฒนาจากกอดปืน - กอดอำนาจ เป็นรุกคืบหนุนพรรคการเมือง – สื่อ - ระบบยุติธรรม เป็นระเบิดเวลาทำลายศักยภาพประเทศ

 วันนี้ (2 ธ.ค.2567) เวลา 09.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ 

เมื่อประเทศไทยอ่อนแอลง เติบโตช้า เกิดช่องว่างระหว่างความรวยและความจน จนเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ และส่งผลให้ขีดความสามารถของประเทศลดลง ประเทศไทยจำเป็นจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวเดินต่อไป ด้วยนโยบายและวิสัยทัศน์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นกลไกหนึ่งในการที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมายร่วมกัน และเพื่อเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้นการจัดเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน” จึงเป็นการนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และการพัฒนานโยบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมสามารถเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาตนเอง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากหลายหน่วยงาน อาทิ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ผศ. ดร. พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนหัวหน้าพรรค ขึ้นกล่าวเปิดงานเสวนาว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงอยู่ในลำดับต้น เป็นประเทศที่มีระบบการคอรัปชั่นเพื่อพวกพ้อง เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจและการผูกขาดสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก การจัดงานในวันนี้เป็นการจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 และจะจัดเป็นประจำทุกเดือน นายอลงกรณ์กล่าวอีกว่า การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการทำงานแบบไร้รอยต่อ ไม่มีการนำเอาผลประโยชน์ทางการเมืองมาเป็นเป้าหมายของการทำงาน พรรคฯ ต้องการสร้างศรัทธาจากประชาชน จึงต้องการรวบรวมสรรพปัญหาเพื่อนำมาออกแบบเป็นนโยบายสำหรับตอบโจทย์เมื่อถึงวันเลือกตั้ง สิ่งที่จะสร้างเส้นทางก้าวเดินสำหรับความเป็นสถาบันการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์คือการ Transform ตัวเอง ให้เป็นองค์กรการเมืองที่ทันสมัย มีความก้าวหน้า และเดินบนเส้นทางการเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองที่จะมองเห็นอนาคตมากกว่าการเดินซ้ำรอยอดีต พร้อมกับหวังว่าเสียงสะท้อนจากงานในวันนี้จะทำให้ประเด็นดังกล่าวยกระดับขึ้นเป็นวาระแห่งชาติของทุกคนในประเทศ เป็นวาระเร่งด่วนเพื่อให้นำไปสู่ความอยู่ดีกินดี เป็นประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนต่อไป

“ผมวาดหวังให้การเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม จะเป็นการสร้างตัวอย่างและแนวทางใหม่ให้กับการเมืองไทย เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นว่านโยบาย “โอเพ่นเฮ้าส์” ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 

ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า การผูกขาดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในอดีต มีมหาเศรษฐีในประเทศไม่กี่ราย มาในยุคที่อำนาจทหารเรืองรองมีการตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมามากมายถึง 140 แห่ง แม้วันนี้จะถูกแปรสภาพไปหมด แต่รัฐวิสาหกิจไทยในขณะนั้นได้ใช้ทรัพยากรของรัฐไปเป็นจำนวนมาก แต่ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับผู้มีอำนาจและกลุ่มนายทุนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

“คนไทยในอดีตหากอยากรวย ถ้าไม่กอดปืนก็ต้องกอดคนมีอำนาจในขณะนั้น การกอดปืนหรือกอดอำนาจมีมาจนถึงทุกวันนี้เพียงแค่รูปแบบลดความชัดเจนลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากระบอกปืนกลับมามีอำนาจจึงเห็นกลุ่มคนที่มีอำนาจไปกอดปืนอีกรอบหนึ่ง ทำให้มีคนบางกลุ่มร่ำรวยแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากดำเนินการตรวจสอบในวันนี้จะเห็นว่าหลายกลุ่มได้งานสัมปทานของรัฐแบบผิดกฎหมาย” ดร.มานะ กล่าว 

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจที่เข้าสู่การผูกขาดจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ มีอัตราการขยายตัวของ product ต่ำ มีศักยภาพการผลิตของอุตสาหกรรมต่ำเกินความเป็นจริง มียอดการส่งออกต่ำเนื่องจากมีฐานในต่างประเทศน้อย และมีการลงทุนต่ำเกินจริงเนื่องจากมีรัฐอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองน้อย แต่จะใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อกอบโกยเงินของหลวงให้มากที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทำลายศักยภาพการพัฒนาประเทศ จนเกิดเป็นกับดักทางรายได้ของประเทศ เนื่องจากผลประโยชน์ไปตกอยู่กับคนกลุ่มเดียว

ด้าน ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง คุณภาพชีวิตของคนไทยวันนี้พัฒนาต่ำลง ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้กับชีวิต ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ ไปจนถึงสะพานถล่ม ทั้งที่ลาดกระบัง และล่าสุดพระราม 2 ล้วนเป็นภัยที่เริ่มใกล้ตัวมากกว่าที่คิด วันนี้ภาคประชาชนจึงได้เสนอกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ “ผมอยากใช้เวทีนี้ซึ่งเป็นเวทีที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เป็นการทำเวทีเพื่อให้บ้านเมืองหลุดพ้นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคอรัปชั่น จึงอยากให้มาร่วมกันสนับสนุนพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ให้เกิน 10,000 ชื่อ เพื่อให้มีเจ้าภาพคนกลางที่จะลงไปดูติดตามรายงานตรวจสอบและป้องกัน จะได้รู้สักทีว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว  

ด้าน ผศ. ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ ระบุว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ จึงเห็นว่าการแข่งขันจะช่วยเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร เป็นการเปลี่ยนจากตลาดผูกขาด เป็นตลาดแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มถูกลง ทั้งเป็นการกระจายผลประโยชน์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ 

นอกจากนี้ ผศ. ดร.พรเทพ ได้ยกตัวอย่างปัญหาการดำเนินการของ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ขาดการทำงานเชิงรุกเพื่อยับยั้งป้องกันหรือเยียวยาผลกระทบการกระทำอันไม่เป็นธรรมทางการค้าผู้บริโภคไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการร้องเรียนโดยตรงได้ ทั้งยังขาดศักยภาพทางวิชาการและแรงจูงใจ ดังนั้นเพื่อการกำกับดูแลการแข่งขันของไทยให้มีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนพิจารณาเรื่องบทลงโทษทางอาญาด้วยเนื่องจากกระบวนการทางอาญาที่ใช้เวลานาน อีกนัยหนึ่งก็สามารถเป็นอุปสรรคในการกำกับดูแลเช่นกัน 

สำหรับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ระบุว่า อำนาจกับผลประโยชน์อยู่คู่กันมาโดยตลอด และมีพัฒนาการจากเดิมที่อำนาจและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มทหาร ปัจจุบันจะเห็นว่ากลุ่มทุนได้ย้ายมาอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีแต่การผูกขาดเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีการผูกขาดทางการเมือง ไปจนถึงการผูกขาดทางทรัพยากร และลุกลามไปถึงการผูกขาดในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ยังได้ตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่า เมื่อพวกเขาเติบโตมาจากการผูกขาดการค้า ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการผูกขาด เมื่อผู้นำไม่รังเกียจการผูกขาด วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการแจกเงินคนจน ซึ่งวิธีดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการผูกขาดโดยรัฐแล้ว ยังมีปัญหาซ้ำเติมในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และในอนาคตอันใกล้เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จึงไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่กำลังจะทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ 

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการสัมมนา ยังมีการเปิดเวทีให้ผู้เข้าชมได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อาทิ ดร.เพ็ญจันทร์ ล้อสีทอง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง นายปรพล อดิเรกสาร เป็นต้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ! Kloss Wellness Clinic ผู้นำคลินิกดูแลสุขภาพครบวงจร ขึ้นรับรางวัล สถานประกอบการฟื้นฟูและชะลอวัยดีเด่นแห่งปี ในงาน THE WORLD'S HIGHEST AWARDS 2024

โรงเรียนสวนกุหลาบสมุทรปราการ จับมือ มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บิน ประเทศจีน จัดพิธีลงนามทำ MOU เปิดศูนย์ประสานงานและการเรียนรู้ภาษาจีน

งานบุญกฐิน ประจำปี 2567 วัดบางพลีใหญ่กลาง รวมยอดจากสายบุญทุกสาย กว่า 1.6 ล้านบาท อย่างไม่เป็นทางการ